สรุปบทที่ 2 สารสนเทศ
ความหมาย
1.ระบบ หมายถึง กลุ่มของสิ่งซึ่งมีลักษณะประสานเข้าเป็นสิงเดียวกัน ตามหลักแห่งความสำพันธ์ที่สอดคล้องกันด้วยระเบียบของธรรมชาติหรือหลักเหตุผลทางวิชาการ
2.ระบบสารสนเทศ หมายถึง เซต หรือการรวมตัวของกระบวนการหลายกระบวนการ สำหรับงานด้านเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผลเพื่อปรับรูปแบบของข้อมูลให้เข้าสู่รูปแบบสารสนเทศ
แบบจำลองระบบสารสนเทศ
1.ผู้ใช้ขั้นปลาย คือผู้ใช้สารสนเทศที่อยู่ภายในหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกของธุรกิจ
2.ต้นทางข้อมูล คือ ธุรกรรมทางการเงินที่นำเข้าสู่ระบบสารสนเทศ
3.การรวบรวมข้อมูล โดยปกติถือว่าเป็นขั้นตอนแรก ซึ่งมีความสำคัญที่สุด โดยมุ่งเน้นวัตถุประสงค์ด้านการรับข้อมูลหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง สมเหตุสมผล ครบถ้วนสมบูรณ์และปราศจากข้อผิดพลาดใด ๆ ทั้งสิ้น
4.การประมวลผลข้อมูล หลังจากที่รวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้นแล้ว จะต้องทำการประมวลผลข้อมูล ทั้งในรูปแบบที่ง่ายและรูปแบบที่ซับซ้อน โดยการจำแนกการประมวลผลได้ 2 รูปแบบ คือ
รูปแบบที่ 1 การประมวลผลแบบกลุ่ม
รูปแบบที่ 2การประมวลผลแบบทันที
5.การจัดฐานข้อมูล
ฐานข้อมูลขององค์กร คือ หน่วยเก็บข้อมูลทางกายภาพสำหรับข้อมูลที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน ส่วนข้อมูลที่จัดเก็บในฐานข้อมูล จะประกอบด้วยหน่วยเก็บข้อมูลที่เรียงลำดับจากหน่วยเล็กที่สุดไปหาหน่วยใหญ่ที่สุด
6.การก่อกำเนิดสารสนเทศ จะประกอบด้วยกระบวนการแปลโปรแกรมการจัดข้อมูล การกำหนดรูปแบบ รวมทั้งการนำเสนอสารสนเทศต่อผู้ใช้
7.ผลป้อนกลับ จะอยู่ในรูปแบบของรายงานที่เป็นผลลัพธ์ ซึ่งถูกส่งกลับไปยังระบบในฐานะของต้นทางข้อมูลภายในหรือภายนอกก็ได้ และอาจถูกนำไปใช้ในฐานะข้อมูลเริ่มต้นหรือข้อมูลสำหรับการปรับเปลี่ยนกระบวนการ หากส่วนประกอบทั้ง 7 ส่วน มีการรวมตัวกันอย่างเหมาะสมจะสนองต่อวัตถุประสงค์ของระบบสารสนเทศได้ 3 ประการ ดังนี้
ประการที่ 1 การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการจัดการ
ประการที่ 2 การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการตัดสินใจ
ประการที่ 3 การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการปฏิบัติการ
บทบาทของระบบสารสนเทศ
1.โซคุณค่า จะประกอบด้วยกิจกรรมหลักของการจดการต้นทาง การผลิต และการจัดการตามทาง ในส่วนของการผลิตสนค้าและบริการ โดยรวมกิจกรรมหลักทั้ง 3 ส่วน คือ
1.1 การจัดการต้นทาง
1.2 การผลิต
1.3 การจัดการตามทาง
2.ระบบคุณค่า
ระบบคุณค่า จะเป็นการเชื่อมโยงกิจกรรมภายใต้โซ่คุณค่า ทั้งภายในและภายนอกองค์การ ภายใต้รูปแบบโซ่อุปทาน โดยการใช้ระบบสารสนเทศเป็นเครื่องมือเชื่อมต่อโซ่คุณค่าขององค์การกับโซ่คุณค่าขององค์การภายนอก มักอาศัยการจัดการโซ่อุปทานการจัดการลูกค้าสัมพันธ์เข้าช่วย ทั้งมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายของการดำเนินกิจกรรมต่างๆ
3. การสนับสนุนงานขององค์การต่างๆ
ระบบสรสนเทศในส่วนการใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานขององค์การภายใต้โซ่คุณค่าและระบบคุณค่า 3 ลักษณะดังนี้
3.1 การสนับสนุนกระบวนการทางธุรกิจ
3.2 การสนับสนุนการตัดสินใจ
3.3 การสนับสนุนความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
4. การเพิ่มมูลค่าให้องค์การ
ระยะที่ 1 การลดต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิผล
ระยะที่ 2 การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
ระยะที่ 3 การจัดการเชิงผลการปฏิบัติงาน
วิวัฒนาการของระบบสารสนเทศ
การใช้ระบบสารสนเทศในเริ่มแรกของธุรกิจจะเป็นการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานประจำที่ซ้ำๆ ภายใต้ธุรกรรมจำนวนมาก ของแต่ละวันทำ เพื่อสรุปและจัดโครงสร้างธุรกรรม รวมทั้งข้อมูลทางการบัญชี การเงินและการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ที่ส่งผลให้องค์การมีต้นทุนการประมวลผลธุรกรรมต่อหน่วยลดลง อีกทั้งความสามารถในการปฏิบัติงานเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น
ต่อมาได้มีการขยายขีดความสามารถของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มีการลดต้นทุนของระบบคอมพิวเตอร์ มีการพัฒนาระบบประยุกต์ เพื่อสนับสนุนงานที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำในรูปแบบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ โดยมีการทำงานที่ซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นและมักใช้กับการตัดสินใจที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย นอกจากนี้ยังมีการขยายตัวของการตัดสินใจใน 2ทิศทางคือ
ทิศทางที่ 1 การพัฒนาระบบสนับสนุนผู้บริหารและระบบสารสนเทศวิสาหกิจ
ทิศทางที่ 2 การพัฒนาระบบสนับสนุนกลุ่มร่วมงาน
ในที่สุดธุรกิจเกิดความสนใจด้านการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ อย่างมีอัจฉริยะโดยมีการพัฒนาระบบประยุกต์เชิงพาณิชย์ที่รู้จักกันดีในนามของระบบอัจฉริยะ
นวัตกรรมที่วิวัฒนาการมาจากระบบสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนงาน คือการพัฒนาโกดังข้อมูล เป็นฐานข้อมูลที่ถูกออกแบบเฉพาะด้านสำหรับการสนับสนุนการตัดสินใจ การสนับสนุนผู้บริหารและการวิเคราะห์อื่นๆ รวมทั้งกิจกรรมของผู้ใช้ขั้นปลาย การใช้โกดังข้อมูล ถือเป็นส่วนหนึ่งระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะธุรกิจ โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์ในปริมาณมากสำหรับข้อคำถามหรือการวิเคราะห์โดยใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ระบบสนับสนุนผู้บริหาร (อีเอสเอส) และระบบอัจฉริยะภาพ (ไอเอส)
ระบบสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนงานในองค์การล่าสุด คือ คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ถูกนำมาใช้สนับสนุนการทำงานของลูกจ้างเคลื่อนที่เพื่อการติดต่อประสานงานกับลูกค้าและหุ้นส่วนธุรกิจที่เป็นองค์การภายนอกธุรกิจ
ในลำดับสุดท้ายมีการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการสนับสนุนงานภายนอกองค์การโดยใช้รูปแบบของระบบสารสนเทศบนเว็บรวมทั้งระบบเคลื่อนที่ โดยมีการพัฒนาระบบประยุกต์ผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ตและเปลี่ยนรูปแบบการค้าเข้าสู่รูปแบบของธุรกิจสู่ธุรกิจซึ่งอนาคตจะมีความเป็นไปได้ว่า องค์การขนาดกลางและระบบใหญ่จะใช้ระบบสารสนเทศบนเว็บ โดยมีการใช้โปรแกรมค้นดูเว็บ เพื่อการสื่อสารความร่วมมือและการเข้าถึงสารสนเทศจำนวนมาก รวมทั้งการดำเนินการและการประมวลผลด้วนวิธีการของระบบสารสนเทศบนเว็บ
สรุปได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบที่แตกต่างกันของระบบสนับสนุนด้านต่างๆมีดังนี้
1. แต่ละระบบมีลักษณะเฉพาะที่จำแนกได้เป็น 1 ระบบ
2. มีการเชื่อมต่อสายงานด้านสารสนเทศระหว่างระบบต่างๆ
3. ระบบสารสนเทศแต่ละระบบสามารถเชื่อมต่อกันภายใต้รูปแบบของระบบลูกผสม
4. เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ความสัมพันธ์และการประสานงาน ระหว่างระบบสารสนเทศในรูปแบบที่ต่างกันโดยสามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและในอนาคต
การจำแนกประเภทระบบสารสนเทศ
1.ระบบสารสนเทศตามหน้าที่งาน
เป็นการรองรับการทำงานของแผนกต่างๆ ซึ่งจำแนกความรับผิดชอบตามหน้าที่งานขององค์การ อาทิเช่น หน้าที่งานด้านการจัดการและการตัดสินใจ หน้าที่งานด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์
2. ระบบสารสนเทศวิสาหกิจ
จะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของแต่ละแผนกงาน ระบบสารสนเทศวิสาหกิจจะเกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อระบบประยุกต์ของแต่ละหน้าที่งานเข้ากับระบบสารสนเทศวิสาหกิจ ซึ่งมักเรียกว่า การบูรณาการระบบสารสนเทศ อีกทั้งยังมีการใช้ระบบประยุกต์ด้านการวางแผนทรัพยากรองค์การเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนงานด้านการวางแผนและการจัดการทรัพยากรทั้งหมดของวิสาหกิจ มีการใช้แบบจำลองรูปแบบใหม่ในส่วนของคอมพิวเตอร์วิสาหกิจ
ศุภิสราพร สุธาทิพยะรัตน์จำแนกประเภทระบบสารสนเทศที่ใช้ภายในวิสาหกิจได้เป็น2ประเภทคือ
ประเภทที่ 1 ระบบสารสนเทศส่วนบุคคล คือ ระบบสารสนเทศที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพ และเพิ่มผลผลิตด้านการทำงานของบุคคลในองค์การมักอยู่ในรูปแบบของการประมวลผลส่วนบุคคล
ประเภทที่ 2 ระบบสารสนเทศกลุ่มร่วมงาน คือ ระบบสารสนเทศซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพและเพิ่มผลผลิตด้านการทำงานของกลุ่มบุคคล โดยมีเป้าหมายการทำงานและการใช้ข้อมูลร่วมกัน มักจะอยู่ในรูปแบบการประมวลผลแบบกลุ่ม
นอกจากนี้ Turban et al. (2006, p. 296) ได้ยกตัวอย่างของระบบสารสนเทศที่ใช้ร่วมกันภายในวิสาหกิจดังนี้
1.ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์การ
2. ระบบสารสนเทศด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์
3. ระบบสารสนเทศด้านการสนับสนุนการตัดสินใจ
4. ระบบสารสนเทศด้านการจัดการความรู้
5. ระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะภาพทางธุรกิจ
6. ระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะอื่นๆ
3. ระบบสารสนเทศระหว่างองค์การ
ปัจจุบันการใช้ระบบสารสนเทศไม่ได้จำกัดแค่ภายในองค์การเท่านั้นยังมีการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศระหว่างสององค์การขึ้นไปเข้าด้วยกัน นิยมเรียกกันว่า ระบบสารสนเทศระหว่างองค์การหรือโอไอเอส อาจเรียกอีกอย่างว่า ระบบสารสนเทศครอบคลุมทั่วโลก เช่น ระบบการจองตั๋วของสายการบินทั่วโลกมีวัตถุประสงค์หลักด้านการเพิ่มประสิทธิภาพของการประมวลผลธุรกรรมดังนั้นการพัฒนาโอไอเอสจึงมุ่งตอบสนองแรงกดดันทางธุรกิจ 2 ประการดังนี้
ประการที่ 1 ความปรารถนาด้านการลดต้นทุน รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพและความทันต่อเวลาภายใต้กระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ประการที่ 2 ความต้องการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศขององค์การกับระบบสารสนเทศของหุ้นส่วนธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ ดังนี้
1. การลดต้นทุนธุรกรรมซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ
2. การเพิ่มคุณภาพและขจัดข้อผิดพลาดของสายงานด้านสารสนเทศ
3. การลดช่วงเวลาของการทำคำสั่งซื้อของลูกค้าให้บรรลุผล
4. การกำจัดกระบวนการที่ใช้กระดาษทั้งในส่วนของการทำงานที่ขาดประสิทธิภาพ ตลอดจนการลดต้นทุนกระดาษ
5 การโอนย้ายและการประมวลผลสารสนเทศทำได้ง่ายขึ้น
6. การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับลูกค้าและผู้จัดหา
ในการติดตั้งใช้งานไอโอเอส จะต้องมีการสร้างเครือข่ายการสื่อสารโดยอาจเลือกใช้เครือข่ายส่วนตัว ในรูปแบบของเครือข่ายมูลค่าเพิ่ม หรือเครือข่ายสาธารณะในรูปแบบของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ได้ โดยการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของไอโอเอส มักปรากฏรูปแบบ 8รูปแบบดังนี้
รูปแบบที่ 1 ระบบการค้าธุรกิจสู่ธุรกิจ
รูปแบบที่ 2 ระบบสนับสนุนการค้าแบบธุรกิจสู่ธุรกิจ
รูปแบบที่ 3 ระบบครอบคลุมทั่วโลก
รูปแบบที่ 4 การโอนเงินอิเล็กทรอนิคส์
รูปแบบที่ 5 กรุ๊ปแวร์
รูปแบบที่ 6 การส่งสารแบบรวม
รูปแบบที่ 7 ฐานข้อมูลใช้ร่วมกัน
รูปแบบที่ 8 ระบบที่ใช้สนับสนุนบริษัทเสมือน
ในส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้สำหรับไอโอเอสจะประกอบด้วย 4 เทคโนโลยีหลัก คือ การสับเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิคส์ เอกซ์ทราเน็ต ภาษาเอกซ์เอ็มแอลและการบริการบนเว็บในส่วนการทำโอโอเอสให้เกิดผลจะมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยข้อมูลของระบบการค้าแบบธุรกิจสู่ธุรกิจเป็นสำคัญ จำแนกได้เป็น 2 ระบบคือ
ระบบย่อยที่1 การจัดการหุ้นส่วนสัมพันธ์หรือพีอาร์เอ็ม โดยมุ่งเน้นในการรับรู้ถึงความต้องการด้านการพัฒนาความสัมพันธ์ระยะยาวกับหุ้นส่วนธุรกิจ
ระบบย่อยที่ 2 การพาณิชย์แบบร่วมมือหรือ ซีคอมเมิร์ช คือ รูปแบบหนึ่งของการร่วมมือขององค์การกับหุ้นส่วนธุรกิจในส่วนนอกเหนือจากการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าและบริการ
ระบบสารสารเทศบนเว็บ
1. ต้นทุนการติดตั้งใช้งานระบบสารสนเทศบนเว็บต่ำกว่าระบบรับให้บริการแบบเดิมโดยใช้เครือข่ายส่วนตัว
2. การแปลงระบบที่มีอยู่เดิมเป็นระบบสารสนเทศบนเว็บทำได้ง่ายและรวดเร็ว
3. ฟังก์ชันการทำงานของระบบสารสนเทศบนเว็บมีมากกว่าฟังก์ชันระบบเดิม
Turban et al (2006, p. 71) ให้นิยามไว้ว่า ระบบสารสนเทศบนเว็บหมายถึง ระบบประยุกต์ซึ่งอาศัยอยู่บนเครื่องบริการหรือแม่ข่าย ในการเชื่อมโยงด้านลูกข่ายกับระบบประยุกต์บนเว็บโดยใช้โพรโตคอมของอินเตอร์เน็ต มีลักษณะเฉพาะ 2ประการ คือ ประการที่ 1 คือ การสร้างเนื้อหาหรือข้อมูลจะถูกปรับให้เป็นปัจจุบันในทันที ประการที่ 2 คือ การเข้าถึงข้อมูลบนเว็บด้วยวิธีการสากลที่อาศัยการสื่อสารหลัก คือ อินเตอร์เน็ต อินทราเน็ต และเอกซ์ทราเน็ตโดยมีรายละเอียดดังนี้
1.อินเทอร์เน็ต
เรียกง่ายๆว่าเน็ต คือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยผู้ใช้ที่อยู่ ณ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งๆ สามารถรับสารสนเทศจากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ หรือในบางครั้งก็อาจคุยโต้ตอบโดยตรงกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นผ่านทางอินเตอร์เน็ตซึ่งถือเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ใช้งานร่วมกันของผู้ใช้งานหลายคน
ในทางกายภาพ อินเตอร์เน็ต ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรทั้งหมดของเครือข่ายโทรคมนาคมสาธารณะที่มีอยู่ปัจจุบัน ในทางเทคนิคสิ่งที่แบ่งแยกอินเตอร์เน็ตกับระบบเครือข่ายอื่นคือ การใช้ชุดโพรโทคอลทีซีพี/ไอพี
2.อินทราเน็ต
จะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับองค์การและอินเทอร์เน็ต ซึ่งอินทราเน็ต คือ การใช้เทคโนโลยีเว็บสำหรับการสร้างเครือข่ายส่วนตัว มักถูกจำกัดใช้งานเฉพาะภายในองค์การโดยใช้เครือข่ายเฉพาะที่หรือระบบแลน ร่วมกับโพรโทคอลทีซีพี/ไอพี เพื่อสร้างแบบฉบับของระบบแลนที่มีความสมบูรณ์ ในส่วนของการใช้เกตเวย์ด้านความมั่นคง
อินทราเน็ตจะถูกใช้งานในหลากหลายหน้าที่ทางธุรกิจ สนับสนุนงานด้านการกระจายสารสนเทศที่หลากหลายรูปแบบภายในองค์การ สามารถใช้ปฏิบัติกิจกรรมของกลุ่มร่วมงานและการแบ่งโครงการที่ถูกกระจายอยู่ภายในองค์การ
3.เว็บศูนย์รวมวิสาหกิจ
คือ เว็บไซต์ที่ติดตั้งเกตเวย์ เพื่อใช้ควบคุมการเข้าถึงสรสนเทศของบริษัทจากจุดเพียงจุดเดียว มีการรวมตัวกันจากสารสนเทศจากหลายๆ แฟ้มข้อมูลและส่งผ่านสารสนเทศไปยังผู้ใช้
4. เอกซ์ทราเน็ต
ถูกเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต มีการเสริมกลไลด้านความมั่นคงทางอินเทอร์เน็ตและฟังก์ชันงานเท่าที่เป็นไปได้ มีการสร้างรูปแบบเสมือนจริงซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้ทางไกลสามารถเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตกับอินทราเน็ตหลักขององค์การ ซอฟว์แวร์ที่ใช้เข้าถึงข้อมูลทางไกลจะมีการพิสูจน์ตัวจริงและข้อมูลจะถูกเข้ารหัสลับขณะที่มีการส่งผ่านผู้ใช้ทางไกลเข้าสู่อินทราเน็ตจะมุ่งเน้นในด้านการใช้สารสนเทศร่วมกันระหว่างสององค์การขึ้นไปตามสมัยนิยม
5. ระบบอีคอมเมิร์ชบนเว็บ
เกิดขึ้นภายใต้ระบบอิเลกทรอนิคส์ ในรูปแบบของธุรกิจสู่ธุรกิจ ธุรกิจสู่ผู้บริโภค ผู้บริโภคสู่ผู้บริโภค ธุรกิจสู่หน่วยสาธารณะส่วนใหญ่จะคิดว่าอีคอมเมิร์ชมีไว้สำหรับลุกค้าเข้าเยี่ยมชมเพื่อซื้อสินค้าออนไลน์ ภาพส่วนใหญ่ของอีคอมเมิร์ชซึ่งเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว คือ การประกอบธุรกรรมในรูปแบบธุรกิจสู่ธุรกิจ
6. ตลาดอิเกทรอนิคส์
ได้มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในฐานะตัวขับเคลื่อนด้านการประกอบธุรกิจทางอีคอมเมิร์ช ซึ่ง Turban et al (2006, p. 71) ให้นิยามไว้ว่า ตลาดอิเลกทรอนิคส์ คือ เครือข่ายการโต้ตอบและความสัมพันธ์ในการแลกเปลี่ยนสารสนเทศ ผลิตภัณฑ์และบริการ ตลอดจนการรับชำระเงิน เมื่อสถานที่ซื้อขายถูกเปลี่ยนรูปแบบจากอาคารทางกายภาพเป็นเว็บไซอิเลกทรอนิคส์
7. การแลกเปลี่ยนอิเลกทรอนิคส์
เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของตลาดอิเลกทรอนิคส์ คือ สถานที่ซื้อขายบนเว็บซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากมีการโต้ตอบกันแบบพลวัตและยังเป็นสถานที่ประกอบการค้าสำหรับโภคภัณฑ์ นับตั้งแต่นั้นมาการแลกเปลี่ยนที่หลากหลายรูปแบบสำหรับสินค้าและบริการทุกชนิด
8. คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่และการพาณิชย์เคลื่อนที่
คือ ตัวอย่างระบบเคลื่อนที่ออกแบบสำหรับลูกจ้างเคลื่อนที่และอื่นๆ ซึ่งผู้ใช้ระบบมักเกิดความต้องการด้านการเชื่อมต่อเข้ากับระบบสารสนเทศขององค์การในทันที
อ้างอิง
ผศ. รุจิจันทร์ พิริยะสงวนพงศ์
นางสาวอนุสรา สายธนู ชั้น บ.กว 4/1 เลขที่7
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น