วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แบบฝึกหัดที่ 5

แบบฝึกหัดบทที่ 5 ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์

1.จงยกตัวอย่างผู้ใช้สารสนเทศเพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์มาสัก 2 ตัวอย่าง
ตอบ
   ตัวอย่าง เช่น
         1.มนุษย์มีการนำเทคโนโลยีด้านต่างๆ มาช่วยในการวางแผนอัตรากำลังคน
         2. เป็นเครื่องมือกำหนดความต้องการของบุคลากรขององค์การที่ตรงกับความต้องการของแต่ละงาน และนำมาช่วยในการจ่ายค่าจ้างและเงินเดือน
2.จงเปรียบเทียบความแตกต่างของการบริหารงานบุคคลและการบริหารทรัพยากรมนุษย์
ตอบ
  ความคล้ายคลึงกันระหว่าง “การบริหารงานบุคคล” และ “การจัดการทรัพยากรมนุษย์” คือ การดำเนินงานภายในองค์การเกี่ยวกับงานด้านบุคลากร ตั้งแต่ การรับสมัคร การคัดเลือก การบรรจุเข้าทำงาน การจัดสรรเจ้าหน้าที่ การประเมินผลการทำงาน ทำหน้าที่เป็นผู้คุมกฎ (ตรวจสอบการมา ลา สาย ขาด กิจ ป่วย) การบริหารเงินเดือนค่าตอบแทน ไปจนถึง การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลาออกหรือการเกษียณอายุของพนักงาน เหล่านี้ถือเป็น งานประจำทางด้านการบุคลากร (Personnel Routine) ซึ่งมีลักษณะของการปฏิบัติที่เหมือนกันทั้ง “การบริหารงานบุคคล” และ “การจัดการทรัพยากรมนุษย์
3.จากหลักการ 4 ข้อและภารกิจ 4 ประการของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ท่านคิดว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่อย่างไร ตอบ  มีความสอดคล้องกัน จากหลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์และภารกิจด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ สามารถใช้เป็นแนวทางได้การระบุขอบเขตงานของระบบสารสนเทศบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสอดคล้องกันได้ เพื่อการนำเสนอสารสนเทศที่สนองความต้องการของผู้ปฏิบัติงาน
4.หากธุรกิจแห่งหนึ่งมีการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ดี มีประสิทธิภาพท่านคิดว่าธุรกิจนั้นจะได้รับประโยชน์อย่างไร
 ตอบ 
       1. ผู้บริหารสามารถเพิ่มขีดความสามารถด้านการวางแผนทรัพยากรองค์การ
                 2.ผู้บริหารสามารถจัดสรรบุคลากรให้เหมาะสมกับงาน
                 3.บุคลากรจะได้รับการพัฒนาตนเองทั้งส่วนความรู้และความสามารถ
                 4.บุคลากรทำงานได้เต็มศักยภาพ
                 5.บุคลากรจะได้รับการปรับปรุงคุณภาพชีวิต เป็นต้น

5. จงยกตัวอย่างสารสนเทศเพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่นำเสนอต่อผู้บริหารระดับกลางในองค์การ
ตอบ
   ตัวอย่าง เช่น สารสนเทศด้านการสรรหา คือ การสรรหาบุคลากรที่เข้ามาทำงานให้มีความรู้ความสามารถ มีความเหมาะสมกับตำแหน่งงาน เป็นต้น
6.สารสนเทศด้านการเจรจาต่อรองแรงงานมักมีผลประโยชน์ต่อองค์การแลบุคลากรอย่างไร  
ตอบ
    บุคลากร เกิดความมั่นใจทางสายงานต่างๆ เช่น ค่าแรงงาน สวัสดิการต่างๆที่องค์การควรที่จะให้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับบุคลากร เป็นต้น
7.ท่านคิดว่าจะมีการใช้เทคโนโลยีใดอย่างแพร่หลายมากขึ้นในอนาคต เพราะเหตุใด
ตอบ
    เนื่องจากในการทำงานของมนุษย์ในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยทุ่นแรงในการทำงานมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถลดข้อผิดพลาดได้มากกว่าการใช้แรงงานมนุษย์และ เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
8.จงอธิบายกระบวนการทางธุรกิจของระบบการสรรหาและคัดเลือก
ตอบ
 ระบบสรรหา หมายถึง ระบบที่เก็บรวบรวมข้อมูลผู้สมัครงานที่มีคุณสมบัติตรงกับคุณลักษณะเฉพาะของตำแหน่งงานที่ว่าง
        ระบบคัดเลือก หมายถึง การเลือกผู้สมัครงานที่ได้รับจดหมายเรียกสัมภาษณ์งานเข้ามารับการสอบ สัมภาษณ์กับบริษัทหลังจากนั้นจะทำการประชุมเพื่อสรุปผลการสัมภาษณ์ส่งให้กับ เจ้าหน้าที่ เพื่อโอนย้ายข้อมูลผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกและออกจดหมายแจ้งผลการ สัมภาษณ์ส่งต่อให้ผู้สมัครเพื่อรับทราบผลการดำเนินต่อไป

9.จงยกตัวอย่างการใช้งานอินทราเน็ตในองค์การสำหรับงานด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์
ตอบ
  ตัวอย่าง เช่น บริการรับสมัครบุคลากรเข้าสู่แผนประกันภัย แผนการตรวจสุขภาพ แผนการออมทรัพย์ เป็นต้น
10.การเรียนอิเล็กทรอนิกส์มีส่วนช่วยเพิ่มทุนทางปัญญาขององค์การในแง่ใดจงอธิบาย
 ตอบ
 
การพัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมตามความต้องการขององค์การและบุคลากรในองค์การอีกทั้งการ เรียนอิเล็กทรอนิกส์ยังช่วยอธิบายคำสอนผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลซึ่งเป็นการสอน ที่ง่ายและสะดวกขึ้น การเรียนแบบนี้เป็นการพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากรให้เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถและปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มศักยภาพอีกด้วย

สรุปบทที่ 5

สรุปบทที่ 5 ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์
แนวคิดและความหมาย
Laudon and Ladon ได้ให้คำจำกัดความว่า ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง ระบบที่ใช้สนับสนุนการทำงานภายใต้กิจกรรมด้านต่าง ๆ ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เช่น การนำเสนอข้อมูลของลูกจ้างที่มีความสามารถ การจัดเก็บข้อมูลของลูกจ้างที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นต้น
O’brien ได้ให้คำจำกัดความว่า ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง ระบบที่ถูกออกแบบเพื่อใช้สนับสนุนงานด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
            1. การวางแผนความต้องการด้านทรัพยากรมนุษย์ของธุรกิจ
            2. การพัฒนาลูกจ้างให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
            3. การควบคุมนโยบายตลอดจนแผนงานด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ( Human Resource Management)
1. แนวคิดและความหมาย
สุวิมล สิริทรัพย์ไพบูลย์  ได้ให้คำจำกัดความของ การบริหารงานบุคคล ไว้ว่าเป็นกระบวนการในการสรรหา คัดเลือก และบรรจุบุคคลที่เหมาะสมเข้าทำงานในองค์การในจำนวนที่เพียงพอและเหมาะสม รวมทั้งการบำรุงรักษา ด้วยการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถให้ทันสมัยอยู่เสมอ
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การนำหลักการบริหารงานบุคคล มาใช้เชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ของการดำเนินงาน และพฤติกรรมของบุคคลในองค์การ เน้นที่การพัฒนาบุคคล และการจัดการด้านศักยภาพของบุคคลที่เกิดจากประสบการณ์ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จขององค์การ
2. หลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์
2.1 หลักความรู้ บุคคลทุกคนที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในองค์การ จะต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ หากผู้ใดพัฒนาตนเอง ผู้นั้นจะมีโอกาสเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่
2.2 หลักความสามารถ บุคคลใดทีมีความสามารถสร้างผลงานที่มีมูลค่าสูงสุด บุคคลนั้นจะมีมูลค่าสูงสุดด้วย ซึ่งจะต้องพัฒนาบุคคลนั้น โดยการจัดฝึกอบรมให้อย่างเต็มที่
2.3 หลักความมั่นคง ต้องทำให้บุคลากรเป็นผู้มีความมั่นคงในงานอาชีพ โดยมีการวางแผนอัตรากำลังคน การวางแผนพัฒนางานอาชีพ เพื่อให้บุคลากรเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในความรู้และความสามารถของตน
2.4 หลักความเป็นกลางทางการเมือง บางครั้ง ที่องค์การมีผู้มีอิทธิพลและมีตำแหน่งสูงว่าผู้อื่น ก็อาจส่งผลให้บุคลากรรายอื่นไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มความสามารถ ส่งผลให้องค์การเกิดภารกิจด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ทั้ง 4 ด้าน ดังนี้
2.4.1 การสรรหา คือ การเสาะแสวงหาบุคคลผู้ที่มีความรู้ และความสามารถที่เหมาะสมกับงาน โดยทำได้ 2 รูปแบบ คือ การสรรหาบุคลากรจากภายในและภายนอกองค์การ
2.4.2 การพัฒนา คือ การส่งเสริมให้บุคลากรมีความรู้ความสามารถ ทัศนคติ และประสบการณ์เพิ่มเติม ทั้งในรูปการฝึกอบรม การศึกษา และการพัฒนาอาชีพ
2.4.3 การธำรงรักษา คือ ความพยายามขององค์การที่ทำให้บุคลากรมีความพึงพอใจในการทำงาน สร้างบรรยากาศให้บุคลากรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน
2.4.4 การใช้ประโยชน์ คือ การใช้บุคลากรให้เหมาะสมกับงาน เพื่อให้องค์การได้รับประโยชน์สูงสุด
3. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ผู้บริหารสามารถเพิ่มขีดความสามารถด้านการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
2. ผู้บริหารสามารถจัดสรรบุคคลให้เหมาะสมกับงาน
3. บุคลากรได้รับการพัฒนาตนเอง
4. บุคลากรทำงานได้เต็มศักยภาพ และมีความพอใจกับผลงานที่ได้รับ
5. บุคลากรได้รับการปรับปรุงคุณภาพชีวิต และสภาพการทำงานที่ดีขึ้น
6. องค์กรบรรลุเป้าหมายในการทำงาน และดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง
7. องค์การมีโอกาสที่จะพัฒนาความร่วมมือและร่วมใจในการทำงาน
8. สังคมอยู่ได้อย่างสันติ
9. ประเทศชาติมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
สารสนเทศเพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์
1. แนวคิดและความหมาย
สารสนเทศเพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลของระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมักเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นวัฎจักร
2. การจำแนกประเภท
         2.1 สารสนเทศเชิงปฏิบัติการ คือ สารสนเทศที่ได้จากการปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ และมีการนำเสนอต่อผู้บริหารระดับล่าง ดังนี้
2.1.1 สารสนเทศด้านการคัดเลือก ประกอบด้วย ผลการสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน รายชื่อผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือก และจดหมายแจ้งผลการสัมภาษณ์
2.1.2 สารสนเทศด้านการบรรจุเข้ารับตำแหน่งงาน ประกอบด้วย สถิติการเข้ามอบตัวของผู้ผ่านการคัดเลือก คำสั่งบรรจุและแต่งตั้งบุคลากร
2.1.3 สารสนเทศด้านประวัติบุคลากร ประกอบด้วย ประวัติส่วนตัวของบุคลากรและประวัติการทำงาน อาจถูกนำมาใช้สำหรับการวางแผนอัตรากำลังคน การสรรหา และพัฒนาบุคลากร
2.1.4 สารสนเทศด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย ข้อมูลผลงานและผลการปฏิบัติงานของบุคลากรรายบุคคล มักถูกใช้สำหรับการพัฒนาบุคลากร การโยกย้ายงาน และเลื่อนตำแหน่ง
2.1.5 สารสนเทศด้านการจ่ายเงินเดือน ประกอบด้วย โครงสร้างเงินเดือน อัตราเงินเดือนของแต่ละบุคคล อัตราภาษีเงินได้ ถูกนำมาใช้สำหรับการควบคุมเงินเดือนจ่าย
            2.2 สารสนเทศเชิงกลวิธี คือ สารสนเทศที่ได้รับจากการบริหารงานในด้านต่าง ๆ และมีการนำเสนอต่อผู้บริหารระดับกลาง ดังนี้
2.2.1 สารสนเทศด้านการสรรหา ประกอบด้วย แหล่งจัดหาแรงงาน ประวัติและคุณสมบัติของผู้สมัคร ตลอดจนการจัดพิมพ์จดหมายเรียกสัมภาษณ์ เพื่อใช้สำหรับการคัดเลือกบุคลากร
2.2.2 สารสนเทศด้านการวิเคราะห์งาน ประกอบด้วย คำพรรณนางานและคุณลักษณะเฉพาะงาน ซึ่งถูกนำมาใช้ในการควบคุมตำแหน่ง
2.2.3 สารสนเทศด้านการควบคุมตำแหน่ง ประกอบด้วย โครงสร้างตำแหน่งงาน ถูกนำมาใช้สำหรับการสรรหา การคัดเลือก และบรรจุเข้ารับตำแหน่งงาน
2.2.4 สารสนเทศด้านการสวัสดิการและผลประโยชน์ ประกอบด้วย รายงานค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการ ค่าตอบแทนและเงินชดเชย ซึ่งถูกใช้สำหรับการคาดการณ์ถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ
2.2.5 สารสนเทศด้านการพัฒนาและฝึกอบรม ประกอบด้วย แผนการฝึกอบรม รายชื่อหลักสูตร มักถูกใช้สำหรับการโยกย้ายงาน และการเลื่อนตำแหน่งงาน
             2.3 สารสนเทศเชิงกลยุทธ์
2.3.1 สารสนเทศด้านการวางแผนอัตรากำลัง ประกอบด้วย แผนอัตรากำลังคนในระยะยาวและถูกนำมาใช้สำหรับการวางแผนความก้าวหน้าในอาชีพงานของบุคลากร
2.3.2 สารสนเทศด้านการเจรจาต่อรองแรงงาน เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคลากรกับผู้บริหารระดับสูง และระหว่างบุคลากรกับบุคลากรด้วยกันเอง
กระบวนการทางธุรกิจของระบบสารสนเทศ
1.ระบบวางแผนอัตรากำลังคน มักถูกใช้เป็นเครื่องมือกำหนดความต้องการบุคลากรขององค์การ ในส่วนกระบวนการทางธุรกิจ เริ่มตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงทำการค้นคืนสารสนเทศจากภายในและภายนอกองค์การ หลังจากนั้น จึงทำการนำเข้าข้อมูลผ่านโปรแกรมการวางแผนกำลังคน และนำออกสารสนเทศในรูปแบบของแผนอัตราการวางกำลังคน จึงส่งแผนอัตรากำลังคนให้ผู้บริหารระดับกลางทำการวิเคราะห์งานต่อไป
2. ระบบวิเคราะห์งาน ครอบคลุมถึง กระบวนการด้านการวิเคราะห์งาน และการควบคุมตำแหน่งงาน ในส่วนกระบวนการทางธุรกิจ จะเริ่มตั้งแต่ผู้บริหารระดับกลางนำแผนอัตรากำลังคนมาทำการวิเคราะห์ เพื่อจำแนกประเภทของงานตามโครงสร้างและแผนกลยุทธ์ พร้อมทั้งจัดทำคำพรรณนางาน คุณลักษณะเฉพาะงาน เพื่อนำไปใช้ในการสรรหา คัดเลือก และบรรจุคนเข้าทำงาน
3. ระบบสรรหาและคัดเลือก ในส่วนกระบวนการทางธุรกิจของการสรรหา โดยการสร้างระบบเก็บรวบรวมผู้สมัครงานที่มีคุณสมบัติตรงกับคุณลักษณะเฉพาะงาน กระบวนการจะเริ่มตั้งแต่เจ้าหน้าที่สรรหาทำการรวบรวมข้อมูลจากภายในและภายนอกองค์การ เพื่อกำหนดตำแหน่งงานและคุณสมบัติของผู้สมัคร เมื่อผู้สมัครทำการยื่นใบสมัครที่บริษัทที่เชื่อมโยงกับโปรแกรมรับสมัครงาน ระบบจะจัดเก็บข้อมูล เพื่อคัดเลือกผู้สมัครที่เข้ารับการสัมภาษณ์ หลังจากนั้นจะออกจดหมายเรียกให้ผู้สมัครรับทราบ
4. ระบบบุคลากร ครอบคลุมถึงกระบวนการด้านการบรรจุเข้าทำงาน การทะเบียน ประวัติบุคลากร และการบันทึกเวลาเข้า – ออก ในส่วนการบวนการทางธุรกิจของระบบบุคลากร หลังจากผู้สมัครผ่านการคัดเลือกได้รับการแจ้งผลสัมภาษณ์แล้ว จะต้องเข้ามามอบตัวเข้าทำงาน เพื่อทำงานในตำแหน่งที่ตนสมัคร และบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้าทำงานต้องเข้าปฏิบัติงานในทุกวันทำการภายในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งองค์การอาจเลือกใช้เทคโนโลยีรับเข้าข้อมูลของการบันทึกเวลาทำงาน เช่น เครื่องรูดบัตร เครื่องสแกนลายนิ้วมือ
5. ระบบจ่ายค่าจ้างและเงินเดือน จะมีการประมวลผลโปรแกรมเงินเดือน เพื่อคำนวณรายได้สุทธิหรือเงินเดือนจ่ายบุคลากร โดยใช้ข้อมูลอัตราเงินเดือนจากแฟ้มข้อมูลบุคลากร โปรแกรมจะทำการคำนวณตัวเลขเงินเดือนจ่ายประจำเดือน เพื่อนำส่งธนาคารให้ทำการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากบุคลากรแต่ละคน และออกรายงานสรุปการจ่ายเงินเดือนแยกตามแผนกส่งให้ผู้บริหารเพื่อใช้ตรวจสอบและตัดสินใจ
6. ระบบประเมินผลการปฏิบัติงาน ครอบคลุมถึงกระบวนการด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน และการปรับเงินเดือน ตลอดจนนำข้อมูลสารสนเทศที่ได้มาเป็นข้อมูลนำเข้าของการพัฒนาและฝึกอบรม การเลื่อนขั้น หรือการโยกย้าย เช่น วิธีการใช้ตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน ตลอดจนวิธีการวัดผลเชิงดุลยภาพ ในกระบวนการธุรกิจของระบบประเมินผลการปฏิบัติงาน เริ่มตั้งแต่เจ้าหน้าที่ใช้โปรแกรมประเมินผลการปฏิบัติงานรับเข้าข้อมูลบุคลากร การทำงาน ผลงาน เพื่อสร้างใบประเมินให้ผู้ประเมินทำการประเมินผู้ใต้บังคับบัญชา และส่งผลให้ผู้บริหารพิจารณาปรับเงินเดือน
7. ระบบพัฒนาและฝึกอบรม ครอบคลุมถึงกระบวนการในส่วนการจัดทำแผนการพัฒนา การฝึกอบรม และการดำเนินการฝึกอบรมบุคลากร โดยจะศึกษาข้อมูลจากการประเมินผลการปฏิบัติงาน การวิเคราะห์งานและตำแหน่งงาน เพื่อมาจัดทำแผนการฝึกอบรม ในส่วนกระบวนการทางธุรกิจของระบบการพัฒนาและฝึกอบรม จะเริ่มตั้งแต่มีการใช้โปรแกรมพัฒนาบุคลากร เพื่อจัดทำแผนการฝึกอบรมบุคลากร หลังจากการฝึกอบรมเสร็จแล้ว ระบบจะออกรายงานประเมินผลการฝึกอบรม รายงานค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม เพื่อนำเสนอต่อผู้บริหารใช้พิจารณาและตัดสินใจด้านการโยกย้ายงาน
8. ระบบสวัสดิการและผลประโยชน์ ครอบคลุมถึงกระบวนการวางแผนด้านผลประโยชน์ของบุคลากร และการจ่ายค่าสวัสดิการบุคลากร เพื่อเป็นการธำรงรักษาบุคลากรให้มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน อาจอยู่ในรูปของค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร ค่าเครื่องแบบ และเงินให้กู้ เป็นต้น ในส่วนกระบวนการทางธุรกิจของระบบสวัสดิการและผลประโยชน์ จะเริ่มตั้งแต่ ผู้บริหารระดับกลางใช้โปรแกรมวางแผนผลประโยชน์เพื่อนำเข้าข้อมูล 2 ส่วน คือ ข้อมูลจากภายในและภายนอก โดยจะจัดเก็บไว้ที่แฟ้มข้อมูลผลประโยชน์ เพื่อให้บุคลากรสามารถเรียกดูและรับทราบผลประโยชน์ได้
เทคโนโลยีทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์
1.โปรแกรมสำเร็จรูปด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 
คือ ซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ที่วางขายอยู่ในตลาดซอฟต์แวร์ถูกพัฒนาขึ้นใช้เฉพาะกับงานด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จำเป็นต้องใช้ร่วมกับระบบจัดการฐานข้อมูล เพื่อสร้างระบบจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพ แบ่งได้ 3ประเภท ดังนี้
1.1 โปรแกรมบันทึกเวลาการทำงาน อาศัยการทำงานร่วมกันของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ระบบการบันทึกเวลาการทำงาน เพื่อจัดการดูแลการปฏิบัติงานของบุคลากรตามหน้าที่ มีการเชื่อมโยงข้อมูลการบันทึกเวลาการทำงานเข้ากับโปรแกรมจ่ายเงินเดือน
1.2 โปรแกรมการจ่ายเงินเดือน มักเป็นการรวม 3 มอดูลเข้าด้วยกัน คือ มอดูลบุคลากร มอดูลการลางาน และมอดูลการจ่ายเงินเดือน รวมทั้งมอดูลการออกเอกสารและรายงาน
1.3 โปรแกรมการบริหารทุนด้านมนุษย์ ยกตัวอย่าง โปรแกรมพีเพิงซอฟต์เอ็นเตอร์ไพรส์ ของบริษัท ออราเคิล จำกัด ที่พัฒนาโปรแกรมบริหารทุนด้านมนุษย์ เช่น เว็บศูนย์รวมด้านทรัพยากรมนุษย์ การวางแผนอัตรากำลังคน การสรรหาผู้บริหารที่มีความสามารถ รวมทั้งบุคลากรทั่วไป
2. การใช้งานอินทราเน็ต 
อินทราเน็ต คือ ระบบเครือข่ายที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะภายในองค์การ การพัฒนาอินทราเน็ตจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของมาตรฐานผลิตภัณฑ์อินเทอร์เน็ต และเวิลด์ไวต์เว็บ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศขององค์การ
Laudon and Laudon ได้ยกตัวอย่างการใช้งานระบบประยุกต์ด้านอินทราเน็ต ดังนี้
1. การประชาสัมพันธ์ปฏิทินที่ระบุเหตุการณ์ต่าง ๆ ของบริษัท โดยบุคลากรจะสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มลงทะเบียนการเข้าประชุม พร้อมทั้งส่งข้อมูลลงทะเบียนไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบระบบออนไลน์ได้
2. บุคลากรทำการประมวลผลตารางเวลาทำงาน ผ่านระบบอินทราเน็ตได้ด้วยตนเอง
3. บุคลากรใช้ระบบบริหารข้อมูลบุคลากรได้ด้วยตนเองผ่านระบบอินทราเน็ต
3. การบริหารทรัพยากรมนุษย์ทางอิเล็กทรอนิกส์
    3.1 การจัดองค์กรรเสมือนจริง คือ รูปแบบองค์การที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย นิยมใช้ในงานด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ไม่ว่าบุคลากรจะอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถสื่อสารกันได้
3.1.1 การประชุมทางไกล คือ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งยินยอมให้กลุ่มบุคคลประชุมกันผ่านทางโทรศัพท์ หรือซอฟต์แวร์การสื่อสารผ่านกลุ่มอีเมล์
3.1.2 การประชุมผ่านวีดีทัศน์ คือ การประชุมทางไกลที่ผู้ประชุมสามารถเห็นหน้ากันได้ผ่านจอวีดีทัศน์ นิยมใช้เนื่องจากประหยัดเวลาและต้นทุน
     3.2 การสรรหาอิเล็กทรอนิกส์ คือ กระบวนการเสาะหา ทดสอบ และตัดสินใจสำหรับการว่าจ้างขององค์การผ่านเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต ที่สามารถใช้โปรแกรมค้นหาใบประวัติส่วนตัว ประสบการณ์การศึกษาและการทำงาน นอกจากนี้ ในส่วนผู้สมัคร ก็จะได้รับประโยชน์ซึ่งมีการประกาศรับสมัครงานจำนวนมากบนเว็บไซต์ เช่น monster.com
      3.3 เว็บศูนย์รวมด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ข้อได้เปรียบ คือ มีสารสนเทศจำนวนมากที่สามารถนำมาใช้ เช่น โปรแกรมค้นหา ดรรชนีการที่นำเสนอต่อสมาชิกของเว็บไซต์ และได้มีการรวมตัวของหลายบริษัท เพื่อสนับสนุนงานด้านการสรรหาผู้สมัครในตำแหน่งที่หาได้ยาก
      3.4 การประเมินผลการปฏิบัติงานทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมงาน ซึ่งมีหน้าที่ประเมินผลผู้ใต้บังคับบัญชาบันทึกผลการประเมินลงแบบฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ สารสนเทศที่ได้จากการประเมินจะสามารถใช้ในงานด้านตัดสินใจ เช่น การให้เงินรางวัลเพื่อสร้างแรงจูงใจ
      3.5 การเรียนอิเล็กทรอนิกส์ คือ เทคโนโลยีหนึ่งที่นำมาใช้ในงานด้านการพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากร เพื่ออธิบายคำสอนผ่านเทคโนโลยีดิจีทัล และเครือข่ายส่วนตัว แบ่งได้ 2 รูปแบบ คือ
        รูปแบบที่ 1 การสื่อสารแบบประสานเวลา ผู้สอนและผู้เรียนอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน และสามารถตอบโต้กันได้
       รูปแบบที่ 2 การสื่อสารแบบไม่ประสานเวลา ผู้สอนและผู้เรียนไม่สามารถตอบโต้กันได้ภายในเวลาเดียวกัน เช่น การที่ผู้เรียนเข้าสู่เว็บเพื่อดาวน์โหลดบทเรียนหลังจากที่ดาวน์โหลดเสร็จ จึงทำการติดต่อผู้สอนผ่านทางอีเมล์

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แบบฝึกหัดบทที่ 4

แบบฝึกหัดบทที่ 4 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจ
1. จงอธิบายความสัมพันธ์ของระบบประมวลผลธุรกรรม และระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ตอบ ระบบประมวลผลธุรกรรม เป็นกระบวนการที่มีการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องเกิดขึ้นประจำวัน เป็นข้อมูลกระบวนการที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ส่วนระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ ระบบประมวลผลรายการที่ครอบคลุมกิจกรรมหลัก ๆ ขององค์กร แต่จะแตกต่างจากระบบประมวลผลรายการที่ ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหาร ที่จำเป็นสำหรับใช้ตัดสินใจ ซึ่งจะเป็นรายงานสรุปข้อมูลต่างๆ ซึ่งทั้งสองระบบนี้จะทำการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกรวมกัน
2. จงยกตัวอย่าง องค์ประกอบด้านการพัฒนากลยุทธ์ของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
       ตอบ การตัดสินใจ เช่นการขาย การสั่งซื้อสินค้า การจัดเก็บสินค้าคงคลัง การโฆษณาสินค้า
3. หากท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านห้องแล็บของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ท่านจะพิจารณาเลือกใช้เทคโนโลยีทางการจัดการประเภทใด เพราะเหตุใด
       ตอบ  ระบบผู้เชี่ยวชาญ คือระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเป็นระบบที่มีโครงสร้างทางการจัดการที่ดีเหมาะสำหรับที่จะนำมาใช้ในโรงพยาบาลเพราะถ้าหากผู้เชี่ยวชาญนั้นตายลาออก หรือถูกย้ายไปทำงานที่อื่น ระบบก็ยังสามารถใช้ได้ตามปกติ อีกทั้งยังใช้ในด้านการติดตามงานระบบที่ซับซ้อนได้ และสามารถพัฒนาแผนการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้อีกด้วย
4. ระบบสารสนเทศประเภทใดที่จัดเป็นระบบสารสนเทศระดับสูง ซึ่งมีการนำข้อมูลจากระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมาใช้เพื่อการประมวลผลสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
       ตอบ  ระบบสนับสนุนผู้บริหาร หรือ ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง  สามารถช่วยแก้ปัญหาแบบไม่มีโครงสร้าง โดยเน้นข่าวสารสำหรับผู้บริหารระดับสูง โดยจะใช้ข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กรในการสร้างองค์ประกอบสำหรับการประมวลผล  ระบบ ESS  ในปัจจุบันใช้ข้อมูลภายนอกองค์กรโดยผ่านเว็บเป็นจำนวนมาก  ซึ่งเป็นส่วนจำเป็นสำหรับผู้บริหาร เช่น ข้อมูลสภาวะหุ้น ข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่ง ความต้องการของตลาด แนวโน้มอุตสาหกรรม ข่าวสารเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ เป็นต้น
5. จงจำแนกประเภทของระบบสารสนเทศทางธุรกิจของธุรกิจโทรคมนาคม
       ตอบ   ระบบสื่อสารโทรคมนาคม สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เช่น ระบบ LAN
6. เพราะเหตุใด ธุรกิจจึงต้องมีการพัฒนาด้านระบบสารสนเทศตามยุคสมัย
       ตอบ เนื่องจากการทำงานในปัจจุบัน ต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารเป็นจำนวนมาก ดังนั้นองค์กรส่วนใหญ่จึงต้องเสียเวลาหลายวันไปกับการรวบรวมจดบันทึก การเก็บรักษาและการค้นหาข้อมูลมากถึง 80 % ขณะที่การทำธุรกิจมีการแข่งขันสูงข้อมูลที่ได้มาอย่างถูกต้องและรวดเร็วกว่าคู่แข่งย่อมเป็นผลดีต่อธุรกิจ 
7.การใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจ มักจะมีความเกี่ยวข้องกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และการพาณิชย์เคลื่อนที่อย่างไร จงอธิบาย
      ตอบ  การใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการจะต้องให้ความสำคัญในแต่ละขั้นตอนเปรียบเหมือนการสร้างสิ่งปลูกสร้างทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำมาใช้แทนกระบวนการทำงานในระบบเดิม ทั้งนี้จะต้องมีขั้นตอนและทีมงานในการพัฒนาอย่างชัดเจนรัดกุม เช่นเดียวกับการตัดสินใจเป็นระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ที่มีปฏิสัมพันธ์ยืดหยุ่นและปรับตัว ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาที่ไม่มีโครงสร้างหรือเพื่อปรับปรุงการตัดสินใจ
8.บทบาทของผู้บริหารด้านข้อมูลข่าวสารและด้านการตัดสินใจมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
      ตอบ  ผู้บริหารต้องตัดสินใจเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุด  สูญเสียน้อยที่สุด โดยมากผู้บริหารมักใช้วิจารณญาณส่วนตัวประกอบสถานการณ์และสภาวะแวดล้อมอีกเล็กน้อยในการตัดสินใจดำเนินการ แต่ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้ถ้าหากผู้บริหารรวบรวมข้อมูลต่างๆไม่ดีเพียงพอ ประกอบกับการพินิจพิเคราะห์ปัจจัยหลายๆอย่างพร้อมๆกันด้วยสมอง
9. เทคโนโลยีความจริงเสมือนมักถูกนำมาใช้กับงานด้านใดบ้าง
      ตอบ  มีการฝึกอบรมในหลากหลายสาขา เช่น การทหาร การแพทย์ การศึกษา การประเมิน การออกแบบ ปัจจัยมนุษย์ สถาปัตยกรรม การศึกษาด้านเฮอร์โกโมฟิกส์ การจำลองลำดับของการประกอบ และการบำรุงรักษาผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
10.เพราะเหตุใดกลุ่มผู้ตัดสินใจของระบบสนับสนุนการตัดสินใจกลุ่มจึงเกิดความเป็นอิสระและกล้าแสดงความคิดเห็น โดยไม่หวั่นเกรงข้อโต้แย้งใดๆ
      ตอบ  เพราะการตัดสินใจบางครั้งที่หาข้อยุติไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีการประชุมแล้วลงคะแนนเสียง หรือเรียกว่าการตัดสินใจกลุ่ม ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้กันโดยปกติสามัญ จะเห็นได้ว่าประสบการณ์ก็ดี การใช้การประชุมกลุ่มเพื่อหารือก็ดียังมีอุปสรรคต่อการตัดสินใจอยู่มาก การใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ลงได้ ปราศจากข้อโต้แย้งและมีความเป็นธรรม

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สรุปบทที่ 4

สรุปบทที่ 4 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจ
แนวคิดและองค์ประกอบ    
1. แนวคิด
ปัจจุบัน องค์การธุรกิจได้นำระบบสารสนเทศ มาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนการใช้งานต่ำ เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จึงก่อให้เกิดระบบสารสนเทศที่หลากหลายรูปแบบ เช่น ระบบสารสนเทศตามหน้าที่งาน ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจ
ดังนั้น องค์การจึงมีการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ และระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ควบคู่ไปกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการพาณิชย์เคลื่อนที่ ได้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
2. องค์ประกอบ
2.1 ฐานข้อมูล หมายถึง หน่วยเก็บและรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์ ซึ่งพร้อมสำหรับการให้บริการเรียกใช้ข้อมูลได้ทุกเวลาที่ผู้ใช้ต้องการ
2.2 การสื่อสาร หมายถึง เครื่องมือที่ช่วยด้านการสรรหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ และส่งผ่านข้อมูลมาจัดเก็บในระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นเป้าหมาย เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์
2.3 เครือข่ายข้อมูล หมายถึง การเชื่อมโยงข้อมูลภายในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยการเชื่อมโยงระบบประยุกต์และฐานข้อมูลเข้าด้วยกัน
2.4 การวิเคราะห์ข้อมูล หมายถึง กระบวนการที่ใช้วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลให้อยู่ในรูปของสารสนเทศที่นำมาใช้ในการตัดสินใจได้ทันที
             2.5 การพัฒนากลยุทธ์ หมายถึง กระบวนการกำหนดกลยุทธ์ด้านระบบสารสนเทศที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจ ตลอดจนสภาพแวดล้อมของธุรกิจ
การจัดการ
1. แนวคิดและความหมาย
การจัดการ คือ กระบวนการประสานงาน เพื่อช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยใช้หลักการวัดผล ดังนี้
ประสิทธิภาพ วัดได้จากทรัพยากรที่ใช้และผลผลิตที่ได้ ถ้าหากใช้ทรัพยากรน้อยและได้ผลผลิตมากกว่าเดิมถือว่ามีประสิทธิภาพ
ประสิทธิผล วัดได้จากความสามารถในการบรรลุเป้าหมายขององค์การในระยะยาว หากองค์การใดสามารถบรรลุทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล จะถือว่าองค์การนั้นได้รับผลผลิตสูง
สำหรับฟังก์ชันการจัดการ สามารถจำแนกได้ 5 ประการ ดังนี้
1.การวางแผน   เกี่ยวข้องกับการกำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ กรอบแนวคิด กระบวนการ ตลอดจนการประสานงานในกิจกรรมต่าง ๆ
2.การจัดองค์การ เป็นการกำหนดกิจกรรมที่จะต้องทำ บุคลากรผู้รับผิดชอบ อำนาจหน้าที่ กลุ่มงาน รวมทั้งสายการบังคับบัญชา
3.การจัดบุคคลเข้าทำงาน เป็นการจัดวางบุคคลให้เหมาะสมกับงานทั้งงานด้านคุณภาพของบุคคลและปริมาณแรงงานที่ต้องการ ตลอดจนการพัฒนาบุคคล
4.การนำ เป็นการสั่งการหรือจูงใจให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างเต็มความสามารถ เพื่อบรรลุเป้าหมายและประโยชน์สูงสุดขององค์การ
5.การควบคุม เป็นการกำหนดเกณฑ์ และมาตรฐานงานเพื่อการตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน
2. ผู้จัดการและผู้บริหาร 
ผู้จัดการและผู้บริหาร คือ บุคคลที่ทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยเป็นผู้ประสานงานในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างแผนกงาน ทีมงาน และบุคคลภายนอกองค์การมีการจำแนกผู้จัดการและผู้บริหารเป็น 3ระดับ
2.1 ผู้บริหารระดับสูง คือ ผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ส่วนบนสุดของโครงสร้าง โดยรับผิดชอบด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์ จัดทำแผนระยะยาวที่กำหนดทิศทาง เป้าหมาย กลยุทธ์ทรัพยากรและนโยบายองค์การ
2.2 ผู้จัดการระดับกลาง คือ ผู้ปฏิบัติงานและรับผิดชอบสำหรับงานด้านการจัดการเชิงกลวิธี จัดทำแผนระยะปานกลางที่สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์และควบคุมการปฏิบัติงาน จัดอยู่ในระดับหน่วยธุรกิจ
2.3 ผู้จัดการระดับล่าง คือ ผู้ปฏิบัติงานและรับผิดชอบงานด้านการจัดการเชิงปฏิบัติการ มีหน้าที่ควบคุมดูแลการทำงานของบุคคลผู้ปฏิบัติงาน จัดทำแผนปฏิบัติงานระยะสั้น เน้นสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรม
บทบาททั่วไปของผู้จัดการและผู้บริหารทั้ง 3 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
1.การเป็นตัวแทนและภาพลักษณ์ที่เป็นรูปธรรมขององค์การ
2.การเป็นผู้นำองค์การกระตุ้นพนักงานให้ร่วมแรงร่วมใจกับปฏิบัติหน้าที่
3.การประสานงานกับบุคคล หรือกลุ่มบุคคล เพื่อสร้างความราบรื่นด้านการดำเนินงาน
ระดับที่ 2 ด้านข้อมูลข่าวสาร
1. การเป็นตัวกลางด้นการไหลเวียนข่าวสาร และติดตามตรวจสอบข้อมูล
2. การเป็นผู้กระจายข่าวสารให้พนักงานรับทราบ
3. การเป็นโฆษกที่ทำหน้าที่กระจายข่าวสารขององค์การไปสู่ภายนอก
ระดับที่ 3 ด้านการตัดสินใจ
1.การเป็นผู้ประกอบการ โดยการคิดค้นและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ
2.การเป็นนักแก้ปัญหาให้ลุล่วงไป และเป็นคนกลางคอยตัดสินปัญหา
3.การเป็นผู้จัดสรรทรัพยากรซึ่งมีปริมาณจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การตัดสินใจ
1. แนวคิดและความหมาย
            การตัดสินใจ คือ กระบวนการที่ใช้แก้ปัญหาที่เกิดจากการดำเนินการด้านต่าง ๆ ของธุรกิจ ตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไข
ขั้นตอนที่ 2 เลือกวิธีการแก้ปัญหา
ขั้นตอนที่ 3 เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อสร้างแบบจำลองการตัดสินใจ
ขั้นตอนที่ 4 ระบุทางเลือกที่ได้จากแบบจำลองการตัดสินใจ
ขั้นตอนที่ 5 ประเมินข้อดีและข้อเสียของแต่ละทางเลือก
ขั้นตอนที่ 6 เลือกและปฏิบัติตามแนวทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
2. แบบจำลองการตัดสินใจและการแก้ปัญหา
Stair and Reynolds (2006, p.455) ได้กล่าวถึง เฮอร์เบิร์ต ไซมอน ว่าเป็นผู้พัฒนาแบบจำลองการตัดสินใจซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วไป โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ในเวลาต่อมา จอร์จฮูเบอร์ ได้ขยายแบบจำลองการตัดสินใจเป็นแบบจำลองการแก้ปัญหา โดยเพิ่มขั้นตอนอีก 2 ขั้นตอน รวมทั้งสิ้น 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นอัจฉริยะ คือ ขั้นของจำแนกและนิยามถึงปัญหาและโอกาสทางธุรกิจไว้อย่างชัดเจน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลที่สัมพันธ์กับสาเหตุและขอบเขตของปัญหา
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นออกแบบ คือ ขั้นของการพัฒนาทางเลือกของการแก้ปัญหาที่หลากหลายด้วยวิธีการต่าง ๆ เป็นขั้นการประดิษฐ์ พัฒนา และวิเคราะห์หาชุดปฏิบัติการ โดยอาจใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเป็นเครื่องมือสร้างชุดปฏิบัติการ
ขั้นตอนที่ 3 ขั้นตัวเลือก คือ ใช้เครื่องมือสื่อสาร ช่วยคำนวณค่าใช่จ่ายและติดตามผลของการใช้ชุดปฏิบัติการนั้น และใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
ขั้นตอนที่ 4 ขั้นทำให้เกิดผล คือ ขั้นตอนการนำชุดปฏิบัติการที่เลือกไว้ไปใช้ให้เกิดผลลัพธ์
ขั้นตอนที่ 5 ขั้นกำกับดูแล คือ ขั้นของการประเมินผลชุดปฏิบัติการที่ถูกนำไปใช้โดยผู้ตัดสินใจ และติดตามผลลัพธ์ อีกทั้งยังได้ทราบผลป้อนกลับ
3. การจำแนกประเภท
3.1 การตัดสินใจแบบมีโครงสร้าง เป็นการตัดสินใจของปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กันทุกวัน มีลักษณะเป็นงานประจำ สามารถเข้าใจได้ง่าย มักใช้กับการทำงานของผู้จัดการระดับล่าง
3.2 การตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง เป็นการตัดสินใจซึ่งเกี่ยวกับเรื่องที่มักใช้กฎเกณฑ์เพียงบางส่วน จึงต้องอาศัยวิจารณญาณเข้าช่วย ร่วมกับการใช้สารสนเทศช่วยตัดสินใจ มักใช้งานกับผู้จัดการระดับกลาง
3.3 การตัดสินใจแบบไม่มีโครงสร้าง เป็นการตัดสินใจกับเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก ไม่มีกรอบการทำงาน อาจมีการนำเสนอสารสนเทศบางส่วน มักใช้กับผู้บริหารระดับสูงในองค์การ
4. รูปแบบการตัดสินใจ
4.1 ระดับบุคคล เป็นระดับการตัดสินใจในส่วนการใช้แบบแผนการรับรู้ อธิบายถึงลักษณะนิสัยส่วนบุคคลในการตอบสนองต่อข่าวสาร ซึ่งสามารถเลือกแนวทางปฏิบัติและการประเมินค่าผลที่ตามมาได้ 2รูปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่ 1 การตัดสินใจอย่างเป็นระบบ คือ การใช้วิธีศึกษาปัญหาอย่างมีระเบียบแบบแผน โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูล และประเมินค่าข่าวสาร
รูปแบบที่ 2 การตัดสินใจโดยใช้สามัญสำนึก คือ การใช้วิธีการหลาบรูปแบบมาผสมผสานกัน ไม่มีการปะเมินข่าวสารที่รวบรวมได้
              4.2 ระดับองค์การ เป็นระดับการตัดสินใจที่ถูกกระทำโดยกลุ่มบุคคลภายในองค์การ ซึ่งให้ความสำคัญกับโครงสร้างและนโยบายเป็นสำคัญ แบ่งได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่ 1 การตัดสินใจตามรูปแบบราชการ คือ รูปแบบที่ใช้ในองค์การที่ปฏิบัติงานต่อเนื่องมาหลายปีและแบ่งหน่วยงานออกเป็นหลายหน่วยย่อย แต่ละหน่วยจัดการกับปัญหาเฉพาะที่ตนเชี่ยวชาญเท่านั้น
รูปแบบที่ 2 การตัดสินใจตามรูปแบบการปกครอง คือ รูปแบบที่ใช้ในองค์การที่มีการยกอำนาจการปกครองอยู่ในมือบุคคลเพียงไม่กี่บุคคล อาจมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันสำหรับการตัดสินใจ
รูปแบบที่ 3 การตัดสินใจตามรูปแบบถังขยะ คือ รูปแบบการตัดสินใจที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการใช้เหตุผล มักเกิดขึ้นจากาความบังเอิญ
สารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจ
ศุภิสราพร สุธาทิพยะรัตน์ ได้ให้นิยามไว้ว่า สารสนเทศเพื่อการจัดการ คือสารสนเทศที่ได้จากการสรุปข้อมูลจากฐานข้อมูลดำเนินงานขององค์การเพื่อให้เห็นภาพรวมและแนวโน้มทางการเงิน การตลาด และการผลิตของบริษัท ซึ่งมีคุณลักษณะที่ดี 7 ประการ คือ
1.สารสนเทศที่ช่วยให้ผู้บริหารทราบสถานการณ์ปัจจุบัน หรือระดับผลงานที่ทำได้
2. สารสนเทศด้านปัญหาจากการดำเนินงานและรายงานด้านโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้น
3. สารสนเทศด้านการเปลี่ยนแปลงที่มักส่งผลให้การดำเนินงานของธุรกิจหยุดชะงัก
4. สารสนเทศเกี่ยวกับแผนงานหรือโครงการใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นในอนาคต
5. สารสนเทศที่แจ้งให้ทราบถึงผลดำเนินงานของธุรกิจ ทั้งในส่วนผลประกอบการ ส่วนแบ่งตลาด และยอดขายในช่วงฤดูกาลต่าง ๆ รวมทั้งผลดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
6. สารสนเทศภายนอกเกี่ยวกับข้อคิดเห็น คู่แข่ง และการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน การตลาด
             7. สารสนเทศที่แจกจ่ายออกสู่ภายนอก เพื่อแจ้งให้ผู้ถือหุ้นและผู้สื่อข่าวทราบ
นอกจากนี้ Stair and Reynolds ได้จำแนกประเภทของสารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
1.รายงานตามกำหนดการ
คือ รายงานที่ผลิตขึ้นตามงวดเวลาหรือตามตารางเวลาที่วางไว้ เช่น การใช้รายงานสรุปรายสัปดาห์ของผู้จัดการผลิต ซึ่งแสดงถึงต้นทุนเงินเดือนทั้งหมด เพื่อผลสำหรับการติดตามและควบคุมต้นทุนค่าแรงและต้นทุนงาน โดยมีการอกกรายงานวันละ 1 ครั้ง
2. รายงานตัวชี้วัดหลัก
คือ รายงานสรุปถึงกิจกรรมวิกฤติของวันก่อนหน้านี้ และใช้เป็นแบบฉบับของการเริ่มต้นกิจกรรมใหม่ ซึ่งจะสรุปถึงระดับสินค้าคงเหลือ กิจกรรมผลิต ปริมาณขาย โดยมักมีการนำเสนอต่อผู้จัดการและผู้บริหาร
3. รายงานตามคำขอ
คือ รายงานที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อนำเสนอสารสนเทศตามที่ผู้ใช้ร้องขอ คือ การผลิตรายงานตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น ผู้บริหารต้องการทราบสถานะของผลิตภัณฑ์เฉพาะรายการ
4. รายงานตามยกเว้น
คือ รายงานที่มักมีการผลิตขึ้นอย่างอัตโนมัติ เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติหรือเกิดความต้องการพิเศษทางการจัดการ
5. รายงานเจาะลึกในรายละเอียด
คือ รายงานที่ช่วยสนับสนุนรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นภายใต้สถานการณ์หนึ่ง เช่น มองยอดขายรวมของบริษัท แล้วค่อยมองข้อมูลในส่วนที่เป็นรายละเอียด
กระบวนการทางธุรกิจของระบบสารสนเทศ
1. ระบบประมวลผลธุรกรรม
Stair and Reynolds ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า ระบบประมวลผลธุรกรรม หรือ ทีพีเอส คือ ชุดขององค์ประกอบต่าง ๆ เช่น บุคลากร กระบวนการ ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลและอุปกรณ์ ซึ่งถูกรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบเพื่อนำมาใช้บันทึกรายการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจอย่างสมบูรณ์แบบ
ระบบพื้นฐานทางธุรกิจ ซึ่งมักถูกพัฒนาเป็นระบบคอมพิวเตอร์ระบบแรก คือ ระบบเงินเดือน สิ่งรับเข้า คือ จำนวนชั่วโมงแรงงานของลูกจ้างในช่วงหนึ่งสัปดาห์ และอัตราการจ้างเงินเดือน สิ่งส่งออก คือ เช็คเงินเดือน ระบบเงินเดือน
2. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
Laudon and Laudon ได้ให้นิยามไว้ว่า เป็นระบบที่ใช้สนับสนุนการทำงานของผู้จัดการระดับล่าง และระดับกลางเพื่อการนำเสนอรายงาน ข้อมูลทั่วไป ข้อมูลเฉพาะด้านและข้อมูลในอดีต ซึ่งมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของบุคลากรภายในองค์การมากกว่าความต้องการของหน่วยงานภายนอกองค์การ
Stair and Reynolds ได้ให้นิยามไว้ว่า เป็นระบบที่พัฒนาขึ้น เพื่อการนำเสนอสารสนเทศประจำวันต่อผู้จัดการและผู้ตัดสินใจในหน้าที่งานต่าง ๆ จุดมุ่งหมาย คือ ประสิทธิภาพเบื้องต้นของการดำเนินงานด้านการตลาด การผลิต การเงินที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลในฐานข้อมูลรวมขององค์การ
3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
3.1 แนวคิดและความหมาย
Stair and Reynolds ได้ให้นิยามไว้ว่า ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ หรือ ดีเอสเอส เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้สนับสนุนการตัดสินใจสำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่อง จุดมุ่งหมาย คือ การตัดสินใจอย่างมีประสิทธิผล โดยเอ็มไอเอสจะให้การสนับสนุนองค์การทำสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกต้อง
Turban et al ได้ให้นิยามไว้ว่า คือ ระบบสารสนเทศบนพื้นฐานของการใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีการเก็บรวบรวมตัวแบบและข้อมูลเข้าด้วยกัน เพื่อแก้ปัญหากึ่งโครงสร้างและปัญหาไม่มีโครงสร้าง ซึ่งมักครอบคลุมการตัดสินใจของผู้ใช้ และเป็นระบบที่แสดงถึงแนวโน้มหรือปรัชญามากกว่าหลักการที่ถูกต้องแม่นยำ
เหตุผลของการใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ มีดังนี้
1. ผู้บริหารเกิดความต้องการสารสนเทศใหม่ ๆ ที่มีความถูกต้องแม่นยำอย่างรวดเร็ว
2. การดำเนินธุรกิจ ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่มีเสถียรภาพ
3. หน่วยงานระบบสารสนเทศ ยังขาดฟังก์ชันด้านการวิเคราะห์ธุรกิจ ซึ่งจำเป็นต่อการบริหารและตัดสินใจ
4. เกิดจากความเคลื่อนไหวของคอมพิวเตอร์ด้านผู้ใช้ขั้นปลาย
3.2 สมรรถภาพของระบบ
1. สามารถใช้ดีเอสเอสได้ในทุกระดับชั้นของผู้บริหารไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจรายบุคคลหรือรายกลุ่มก็ตาม มักใช้กับปัญหากึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
2. สามารถใช้ดีเอสเอสได้ ทั้งในส่วนการตัดสินใจเชิงสัมพันธ์และเชิงลำดับ
3. สามารถใช้ดีเอสเอสได้ทุก ๆ ระยะของกระบวนการตัดสินใจ
4. ผู้ใช้สามารถปรับระบบให้เหมาะสมกับการใช้งานภายใต้เวลาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
5. ระบบที่ใช้มักง่ายต่อการสร้าง และสามารถใช้ได้หลายกรณี
6. ระบบที่ใช้จะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ และการกลั่นกรองระบบประยุกต์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
7. ระบบที่ใช้ประกอบด้วยตัวแบบเชิงปริมาณที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ข้อมูล
8. ระบบดีเอสเอสชั้นสูง มักถูกใช้เครื่องมือภายใต้การจัดการความรู้
9. ระบบอาจถูกแพร่กระจายการใช้งานผ่านเว็บ
10. ระบบอาจถูกใช้สนับสนุนการปฏิบัติ ด้านการวิเคราะห์ความไว
3.3 ลักษณะเฉพาะของระบบ
3.3.1 การวิเคราะห์ความไว คือ การศึกษาผลกระทบของการใช้ตัวแบบในส่วนต่าง ๆ ของระบบ ที่สามารถตรวจสอบผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรนำเข้าที่มีต่อตัวแปรซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการตัดสินใจ
3.3.2 การค้นหาเป้าหมาย คือ กระบวนการกำหนดข้อมูลที่เป็นปัญหาซึ่งต้องการคำตอบของการแก้ปัญหานั้น
3.3.3 การจำลอง โดยทำการสำเนาลักษณะเฉพาะของระบบจริง เช่น จำนวนครั้งของการซ่อมแซมส่วนประกอบของกุญแจ จะต้องคำนวณเพื่อกำหนดผลกระทบต่อจำนวนผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถผลิตได้ในแต่ละวัน
3.4 โครงสร้างและส่วนประกอบของระบบ
3.4.1 ระบบจัดการข้อมูล ข้อมูลที่ไหลเวียนจากหลาย ๆ แหล่ง และถูกนำมาสกัดเป็นข้อมูลเพื่อเข้าสู่ฐานข้อมูลของดีเอสเอส หรือโกดังข้องมูล
3.4.2 ระบบจัดการตัวแบบ โดยมักใช้ตัวแบบเชิงปริมาณสำหรับซอฟต์แวร์มาตรฐานด้านการเงิน สถิติ และวิทยาการจัดการ
3.4.3 ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ ครอบคลุมถึงการสื่อสาระหว่างผู้ใช้ระบบในบางระบบที่ถูกพัฒนาอย่างชำนาญการ เช่น ความง่ายของการโต้ตอบกับระบบจะช่วยสนับสนุนให้ผู้จัดการและพนักขายเต็มใจใช้ระบบ
3.4.4 ผู้ใช้ขั้นปลาย คือ บุคคลผู้ซึ่งเผชิญหน้ากับปัญหาหรือการตัดสินใจ คือ ผู้จัดการหรือผู้ตัดสินใจนั่นเอง
3.4.5 ระบบจัดการความรู้ ใช้สำหรับการแก้ปัญหากึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง ซึ่งต้องการความรู้ความชำนาญมาช่วยหาคำตอบของปัญหาเหล่านั้น
3.5 กระบวนการทำงาน
                 ส่วนประกอบของดีเอสเอส คือ ซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่ทำงานบนพื้นฐานของฮาร์ดแวร์มาตรฐาน เช่น มัลติมีเดีย โดยอาจใช้เครื่องมือ เช่น แผ่นตารางทำการ
4. ระบบสนับสนุนผู้บริหาร
4.1 วิสัยทัศน์ อีเอสเอส คือ รูปแบบพิเศษของระบบที่ใช้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารระดับสูง ตลอดจนการใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ปัญหาด้านต่าง ๆ
4.2 คุณลักษณะ อีเอสเอสมักจะประกอบด้วยคุณลักษณะทั่วไป ดังนี้
1. เป็นระบบเชิงโต้ตอบที่ถูกสั่งทำโดยผู้บริหารรายบุคคล
2. เป็นระบบที่ไม่ซับซ้อน ง่ายต่อการเรียนรู้และการใช้งาน
3. เป็นระบบที่มีความสามารถเจาะลึกในรายละเอียดของแหล่งข้อมูล
4. เป็นระบบที่สนับสนุนความต้องการข้อมูลภายนอกองค์การ
5. เป็นระบบสนับสนุนการตัดสินใจภายใต้สภาวการณ์ที่ไม่แน่นอน
6. เป็นระบบที่ใช้กำหนดทิศทางในอนาคตขององค์การ
7. เป็นระบบที่ถูกเชื่อมโยงด้วยมูลค่าเพิ่มของกระบวนการทางธุรกิจ
4.3 สมรรถภาพของระบบ
4.3.1 การสนับสนุนด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ขององค์การ เป็นงานหลักที่สำคัญของผู้บริหารระดับสูง
4.3.2 การสนับสนุนด้านการวางแผนกลยุทธ์ โดยใช้เครื่องมือกำหนดวัตถุประสงค์ระยะยาว วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนขององค์การ
4.3.3 การสนับสนุนด้านการจัดการองค์การ และการจัดคนเข้าทำงาน ใช้วิเคราะห์ผลกระทบต่อการตัดสินใจด้านการจัดคนเข้าทำงาน การยกระดับการจ่ายเงินเดือน
4.3.4 การสนับสนุนด้านการควบคุมกลยุทธ์ เป็นเครื่องมือด้านการติดตามดูแลการดำเนินงานในภาพรวมขององค์การ การแสวงหาเป้าหมาย การจัดสรรทรัพยากร
4.3.5 การสนับสนุนด้านการจัดการเชิงวิกฤติ โดยองค์การอาจต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติต่าง ๆ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจ การเกิดพายุ น้ำท่วม เป็นต้น
เทคโนโลยีทางการจัดการ
1. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจกลุ่ม
Turban et al.  ได้ให้นิยามว่า คือ ระบบพื้นฐานของการใช้คอมพิวเตอร์เชิงโต้ตอบ ที่อำนวยความสะดวกด้านการค้นหาคำตอบของปัญหากึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง ถูกนำมาใช้โดยกลุ่มตัดสินใจที่มุ่งเน้นการสนับสนุนกระบวนการตัดสินใจ
Stair and Reynolds ได้ระบุคุณลักษณะสำคัญของจีดีเอสเอส ซึ่งจะนำมาลบล้างการปฏิบัติหน้าที่ของกลุ่มร่วมงานที่มักเกิดความขัดแย้งของกระบวนการกลุ่ม ดังนี้
1. การไม่ระบุชื่อผู้นำเข้าข้อมูล
2. การลดพฤติกรรมกลุ่มด้านการคัดค้าน
3. การสื่อสารทางขนานตามวัฒนธรรมการประชุมแบบเดิม
2.ห้องตัดสินใจ
เป็นสถานการณ์ในอุดมคติ ซึ่งถูกติดตั้งในอาคารเดียวกันกับผู้ตัดสินใจหรือในพื้นที่ภูมิศาสตร์เดียวกัน และผู้ตัดสินใจ คือ ผู้ใช้เฉพาะกาลของจีดีเอสเอส โดยอีกทางเลือกหนึ่งของห้องตัดสินใจ คือ การรวมส่วนประกอบของระบบโต้ตอบด้วยวาจาแบบเผชิญหน้า ด้วยการรวมตัวของกลุ่มเทคโนโลยี
3. ปัญญาประดิษฐ์
Stair and Reynolds ได้ระบุไว้ว่า ปัญญาประดิษฐ์ จะประกอบด้วยสาขาย่อย เช่น วิทยาการหุ่นยนต์ ระบบภาพ การประมวลภาษาธรรมชาติ โครงข่ายประสาท ระบบการเรียนรู้ รวมทั้งระบบผู้เชี่ยวชาญ
4. ระบบผู้เชี่ยวชาญ
คือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถแนะนำและกระทำการ ดังเช่น ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขานั้น ๆ มูลค่าพิเศษของระบบผู้เชี่ยวชาญ คือ การให้เครื่องมือในการจับและใช้ความรอบรู้ของผู้เชี่ยวชาญหรือผู้เชี่ยวชาญพิเศษ รวมทั้งใช้ในด้านการติดตามงานระบบงานที่ซับซ้อน เพื่อการบรรลุด้านมูลค่าเพิ่มหรือรายได้ที่เหมาะสมซึ่งจะถูกบรรจุไว้ภายในฐานความรู้
5. ความเป็นจริงเสมือน
คือ การจำลองความจริงและสภาพแวดล้อมที่ถูกคาดการณ์ขึ้นด้วยแบบจำลอง 3 มิติ Stair and Reynolds ได้กล่าวถึง โลกเสมือน คือ การแสดงระดับเต็มที่สัมพันธ์กับขนาดของมนุษย์ โดยการติดตั้งรูปแบบ 3 มิติ สำหรับอุปกรณ์รับเข้าของความเป็นจริงเสมือนที่หลากหลาย เช่น จอภาพบนศีรษะ ถุงมือข้อมูล ก้านควบคุม และคทามือถือที่เป็นตัวนำทางผู้ใช้ผ่ายสิ่งแวดล้อมเสมือน